‘เดวิด คิสต์’ ผู้สานต่อโปรเจ็คท์ U20 บลูล็อคสไตล์จิงโจ้
โปรเจ็คท์ ทีมชาติไทย ชุดอายุต่ำกว่า 20 ปี ที่ทางสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย จับมือร่วมกันพัฒนาและบริหารกับสโมสร บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เพื่อตั้งเป้าจะประสบความสำเร็จในการชิงแชมป์ถ้วยเอเชียในปี 2025 เหมือนจะมีความเปลี่ยนแปลงอย่างไม่หยุดไม่หย่อน
ตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา ปราสาทสายฟ้า ที่เป็นหัวเรือใหญ่ในการจัดการเรื่องทรัพยากร ตัดสินใจปลด มิลอส เวเลบิต ออกจากตำแหน่ง ก่อนจะดึงตัว โทชิยะ มิอุระ เทรนเนอร์ชาวญี่ปุ่น ที่เคยเป็นอดีตกุนซือทีมชาติเวียดนามมาทำทีมแทน
ส่งผลให้เฮดโค้ชของทั้งทีมชุดใหญ่ (มาซาทาดะ อิชิอิ) และชุดเยาวชน ยู-20 เป็นชาวญี่ปุ่นเหมือนกัน ประกอบกับกระแสการ์ตูน บลูล็อค ขังดวลแข้ง (Blue Lock) กำลังมาแรง เลยมีการขนานนามเรียกโปรเจ็คท์นี้ไปตามกระแส
อย่างไรก็ตามเมื่อในเวลานี้ บุรีรัมย์ มีการเปลี่ยนแปลงเฮดโค้ชชุดใหญ่มาเป็น อาเธอร์ ปาปาส กุนซือชาวออสเตรเลีย วัย 43 ปี เพื่อการประสานงานที่ต่อเนื่องระหว่างทีมชุดใหญ่และเยาวชนในทิศทางเดียวกัน จึงจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงเฮดโค้ชของ ลูกเจี๊ยบสายฟ้า ให้สอดคล้องกัน
โดยคนที่ถูกเลือกมา คือ ‘เดวิด คิสต์’ กุนซือชาวออสเตรเลีย คนบ้านเดียวกันกับ ปาปาส โค้ชรายนี้เคยผ่านโปรไฟล์การทำงานมาในด้านใดบ้าง? ผลงานของเขาที่ผ่านมาพอมีอะไรให้จับต้องได้หรือไม่? ร่วมหาคำตอบไปพร้อมกับ Think Curve - คิดไซด์โค้ง
เน้นสายสัมพันธ์
บุรีรัมย์ ขึ้นชื่อในเรื่องของการปั้นเยาวชนฝีเท้าดี เพื่อพัฒนาต่อยอดให้เป็นกำลังสำคัญให้กับทีมชุดใหญ่แบบไม่ขาดตอนทุกฤดูกาล ผลผลิตที่ประสบความสำเร็จติดลมบนไปแล้วอย่าง ‘เช็ค-สุภโชค สารชาติ’ และ ‘แบงค์-ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา’ คงเป็นตัวอย่างที่แฟนบอลเห็นได้ถึงศักยภาพของอคาเดมี่แห่งนี้ได้อย่างชัดเจนที่สุด เพราะปัจจุบันทั้งคู่ต่างออกไปค้าแข้งในลีกต่างประเทศเรียบร้อยแล้่ว
ดังนั้นเรื่องของการประสานงานระหว่างกุนซือชุดเยาวชนและชุดใหญ่ จำเป็นต้องสื่อสารถึงกันอยู่ตลอด เพื่อจะคัดกรองและวิเคราะห์คุณภาพฝีเท้าของผู้เล่นแต่ละราย ก่อนจะดันขึ้นไปสู่ทีมชุดใหญ่ พร้อมกับจัดช่วงเวลาในการลงสนามในเกมลีกของจริง ตอนที่ทั้งคู่มองว่านักเตะพร้อมและเหมาะสมแล้ว ดูแลกันทุกขั้นตอนเพื่อไม่ให้ดาวรุ่งรายๆ นั้นอนาคตดับไประหว่างทาง
การเลือกเอา คิสต์ ที่เป็นคนบ้านเดียวกันกับ ปาปาส แม้ว่าจะไม่ได้มีดีกรีเป็นถึงนักเรียนทุนจากรัฐบาลออสเตรเลีย แต่ก็จบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยชั้นนำอย่าง Edith Cowan ที่ตั้งอยู่ในเมืองเพิร์ธ ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งถูกจัดอันดับในปี 2023 จาก The Times Higer Education ให้ติดอยู่ในอันดับประมาณ 351-400 ของโลก โดยจบจากคณะวิทยาศาสตร์การกีฬาและฟุตบอล
นอกจากนี้ตัวของ คิสต์ ยังถือใบรับรองระดับ ซี ไลเซนส์ ที่ได้รับการรับรองจาก เอเอฟซี หรือ สมาพันธ์ฟุตบอลเอเชีย โดยผ่านการอบรมจากสมาคมฟุตบอลประเทศออสเตรเลียอีกด้วย
ประสบการณ์หลายสาขา
คิสต์ ที่แม้จะจบมาทางสายวิทยาศาสตร์การกีฬาและฟุตบอลโดยตรง แต่ประสบการณ์ทำงานของเขาที่ผ่านมาช่างน่าแปลก เพราะเคยทำงานอยู่ในองค์กรรัฐบาลที่ไม่เกี่ยวข้องกับกีฬาแม้แต่น้อยหลายองค์กร
เริ่มตั้งแต่เป็นพนักงานผู้ช่วยในศาลยุติธรรม อยู่นานถึง 4 ปี 7 เดือน, เจ้าหน้าที่สิ่งอำนวยความสะดวกที่สำนักงานการดำเนินคดีสาธารณะ รัฐเวสเทิร์น ออสเตรเลีย อยู่นาน 1 ปี 10 เดือน และ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองในศาล เมืองวิคตอเรีย อยู่นาน 1 ปี 11 เดือน
ส่วนประสบการณ์คุมทีมฟุตบอลที่เคยผ่านมา คิสต์ มีงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนานักเตะเยาวชนอยู่ไม่น้อย อาทิ นั่งแท่นเป็นเฮดโค้ชของ เบย์สวอเตอร์ ซิตี้ ซอคเกอร์ คลับ, ผู้ช่วยโค้ชและนักวิทยาศาสตร์การกีฬาของ เพิร์ธ ซอคเกอร์ คลับ รุ่นอายุไม่เกิน 20 ปี, เจ้าหน้าที่วิทยาศาสตร์การกีฬาของ โฟลรีท อาเธน่า (ทีมชุดใหญ่ในลีก NPL ) และ โค้ชฝ่ายพัฒนาความแข็งแกร่งและสมรรถภาพร่างกายของสโมสร ปาสโค เวล เอฟซี (ทีมชุดใหญ่ในลีก NPL2)
แม้ว่า คิสต์ และ ปาปาส จะมีจุดเริ่มอาชีพการเป็นโค้ชฟุตบอลในลีกกึ่งอาชีพอย่าง NPL หรือ Victoria League อันเปรียบเสมือนเวทีให้เหล่าโค้ชหน้าใหม่ในประเทศได้ลองฝีมือ แต่ทีมที่เฮดโค้ช ยู-20 คนใหม่ของ ปราสาทสายฟ้า ได้ทดลองทำงานนั้น ล้วนแต่มีดีกรีเป็นรองทั้งสิ้น แถมยังไม่มีดีกรีรองรับเรื่องฝีมือให้น่าไว้ใจ
การจับเอาโค้ชที่เด่นเรื่องการพัฒนาร่างกาย, วิทยาศาสตร์การกีฬา และ ทักษะอื่นๆ แต่ความรู้ความสามารถอยู่แค่ระดับ ซี ไลเซนส์ ดูแล้วค่อนข้างจะน่าฉงนไม่น้อยกับการตัดสินใจเปลี่ยนแปลงของผู้หลักผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับการทำทีมในครั้งนี้
หากเราตั้งเป้าหมายถึงการไปติด 1 ใน 10 ของเอเชีย ภายในปี 2025 นี้จริง การคัดสรรค์บุคลากรที่เหมาะสมก็ควรจะเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถหลักๆ ด้านการวางแทคติกส์ ส่วนการพัฒนาสมรรถภาพร่างกายนั้นหาโค้ชเสริมมาช่วยอีกแรงก็ได้ เคสของ คิสต์ จึงยิ่งมองยิ่งแปลกในหลายมิติ
หรืออาจจะเป็นไปได้ว่านี่คือ อีกหนึ่งแรงกระแทกจาก มาซาทาดะ อิชิอิ อดีตโค้ชเก่าที่ทิ้งบอมบ์ลูกใหญ่เอาไว้ แล้วกลายเป็นผลพวงทำให้เพื่อนร่วมชาติอย่าง มิอุระ ตกงานแบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่ก็เป็นได้
แหล่งข้อมูลอ้างอิง :
https://www.linkedin.com/
https://www.shiksha.com/studyabroad/australia/universities/edith-cowan-university/ranking
บทความที่เกี่ยวข้อง :
จากเริ่มจนถึงตอนจบ : การทำงานแบบไทยสไตล์ที่ทำให้ อิชิอิ ต้องโบกมือลาแบบจบไม่สวย
ข่าวและบทความล่าสุด